ประการแรก เราให้ความสำคัญกับจุดอ่อนมากกว่าจุดแข็ง ยกตัวอย่างเมื่อเราถูกถามว่า เรามีข้อเสียอะไรบ้าง เรามักจะคิดออกได้อย่าอย่างรวดเร็วและมีหลายจุดซะด้วย แต่เมื่อถามว่าเรามีจุดแข็งอะไร เรามักจะคิดนานและถึงแม้คิดออก เราก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นจุดแข็งจริงๆ หรือ และเรามักคิดว่ามีจุดแข็งของเราไม่แข็งจริงหรือคงมีคนอื่นดีกว่า แต่จุดอ่อนคือ สิ่งที่เราต้องแก้ไข หรือบางคนไม่คิดจะแก้ไขก็ยอมรับมันไปเลยว่าเราอ่อนแอ และก็ได้แต่สงสารตัวเอง
การที่เราให้ความสนใจกับจุดอ่อนมากเพราะเกิดจากการเลี้ยงดูและการศึกษา เช่น มีพ่อแม่จำ นวนมากมักมีทัศนคติว่า คนที่เก่งเลข เก่งพีชคณิต เก่งวิทยาศาสาตร์ ดีกว่าคนที่เก่งสังคม เก่งกีฬา เก่งศิลปะ เก่งสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต เก่งหัตถกรรม เก่งภาษา เมื่อผลการเรียนออกมามีผู้ ปก ครอง 77% สนใจตัว F ในวิชาเลข พีชคณิต และ 6% สนใจตัว A ในวิชาภาษาอังกฤษ และน้อยที่สุดแค่ 1% สนใจตัว A ในวิชาสังคม เพราะพ่อแม่หลายคนเครียดถ้าเกรดในวิชาเลขและหมวดคำนวนได้ F แต่ก็ไม่ดีใจถึงแม้ว่าเกรดในวิชาภาษาอังกฤษ หรือสังคมได้ A
พ่อแม่กำลังสื่อสารกับลูกว่า จุดแข็งของลูกไม่มีความหมาย เพราะไม่ใช่จุดแข็งที่พ่อแม่ต้อง การ ที่จริงคือจุดแข็งที่สังคมไม่ต้องการ และยังคิดว่ามันไม่ใช่จุดแข็งเสียด้วย ฉะนั้นสิ่งที่ลูกต้องแก้ไขคือ ต้องตั้งใจเรียนเพื่อให้วิชาเลขและการคำนวนได้เกรด A ถามว่ามันคุ้มหรือไม่ที่เราพยายามจะใช้เวลานานกับจุดอ่อนของลูก แทนที่เราจะใช้เวลากับจุดแข็ง...
ประการที่สอง กลัวล้มเหลว เพราะเราจะรู้สึกแย่เมื่อเราพยายามค้นหาจุดแข็ง และพบว่ามันไม่แข็งอย่างที่คิด หรืออย่างที่คนอื่นคาดหวัง เรามีความรู้สึกว่าจุดแข็งของเรายังไม่แข็งพอ และอีกอย่างคือ บางคนอาจจะรู้สึกว่าเราต้องถ่อมตัว ไม่ควรอวดจุดแข็งของตัวเอง ถึงแม้ทำได้แตเราก็จะไม่อาสา เรากลัวว่าเมื่อใช้จุดแข็งแล้วเกิดผิดพลาดล้มเหลวคนอื่นจะดูถูก จะถูกหาว่าขี้อวด ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยเฉย ๆ ดีกว่า แต่ที่จริงแล้วการแสดงจุดแข็งหรือใช้จุดแข็งไม่ใช่เป็นการอวดเก่ง แต่เป็นความรับผิดชอบและเป็นความถ่อมตัวจริงๆ คือ เรายอมรับสิ่งที่เราเป็นตามที่เราเป็น โดยไม่ได้บอกเกินไปหรือน้อยไป เพราะถ้าเราทำได้แล้วไม่ได้ทำมันคือความไม่รับผิดชอบ ไม่ใช่ความถ่อมและถ้าเราทำไม่ได้แล้วยังจะพยายามทำก็ยิ่งไม่ใช่ความถ่อมใจ
สิ่งที่ควรระวัง คือ การที่เราคิดว่าเรามีจุดแข็งในจุดที่เราไม่มี และพยายามทำจุดนั้นโดยคิดว่ามันคือจุดแข็ง และเราก็พยายามทำทั้ง ๆ ที่มันล้มเหลวเสมอ ๆ แต่เราก็พยายามทำ เช่น เราคิดว่าเราพูดเก่งแต่ไม่สนใจว่าคนฟังรู้สึกอะไร คนอื่นอยากฟังหรือไม่ หรือเราคิดว่าเราเป็นนักบริหาร แต่ทีมกำลังมีปัญหา ทุกคนกำลังหนีห่างออกจากเรา หรือเราคิดว่าจุดแข็งเราคือการเป็นผู้นำ แต่เราไม่รู้สึกว่าไม่ค่อยมีคนตาม หรือศบ.ที่คิดว่าครอบครัวเขาเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สมาชิก แต่กลัวเป็นที่สดุดของสมาชิกโดยไม่รู้ตัว เหล่านี้เป็นอันตราย ซึ่งบางคนก็รู้ว่าตัวเองทำได้ไม่ดี แต่ก็พยายามอ้างเหตุผลมาก มายเพื่อจะบอกว่าที่ไม่เกิดผลเพราะจากสาเหตุอื่นที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง นี่เป็นการหลอกตัวเองและไม่ยอมรับความจริงที่อันตรายมาก ถ้าเราคิดว่าเรามีจุดแข็งแต่ไม่มี ซึ่งมันเป็นความล้มเหลวที่แท้จริง
ประการที่สาม กลัวพบตัวเอง หรือกล้วว่าจุดแข็งนั้นไม่แข็งพอ บางคนอาจจะสงสัยว่าตัวเองมีจุดแข็งจริง ๆ หรือ สิ่งที่เรามีเป็นจุดแข็งที่ดีพอหรือไม่ เราอาจจะคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ และถ้ามีคนอื่นดีกว่าเราจะรู้สึกแย่ และสงสัยว่าที่เราทำได้เพราะโชค เพราะความบังเอิญ เพราะคนจำนวนมากสงสัยในพรสวรรค์ที่มีอยู่ภายในเรา การที่เรารู้สึกแบบนั้นไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีพรสวรรค์หรือจุดแข็ง และการพบว่าตัวเองมีน้อยก็ไม่ได้หมายความว่าใช้การไม่ได้ แต่เราสามารถพัฒนาได้และที่หลาย คนรู้สึกว่าเรามีน้อยกว่าคนอื่น อาจจะเป็นเพราะเราคุ้นเคยกับมันจนไม่รู้สึกว่ามันสำคัญ อย่ามองข้ามพรสวรรค์หรือขุดแข็งเล็ก ๆ ที่เราพบในตัวเรา เพราะมันสามารถพัฒนาได้ ซึ่งไม่ขึ้นกับว่าคนอื่นมีมาก กว่าเราหรือไม่
ตัวอย่างคนพิการที่เล่นกีต้าร์ด้วยมือเดียว คนที่เล่นเปียโนด้วยเท้า เขาไม่ได้มองว่าคนอื่นมีจุดแข็งกว่าจนเขาไม่ควรทำอะไรเลย แต่พวกเขากลับใช้จุดอ่อนเพื่อสร้างจุดแข็งจนสามารถทำอย่างที่คนปกติทำไม่ได้
อะไรทำให้เรามองไม่เห็นจุดแข็งของเรา คือ เราเห็นแต่จุดแข็งของคนอื่น เราเอาจุดแข็งของคนอื่นมาวัดกับจุดแข็งของเรา เราใช้จุดแข็งเดียวกับคนอื่นในขณะที่จุดแข็งของเราด้อยกว่า ผมคิด ถึงคนหนึ่งในพระคัมภีร์คือ กษัตริย์ซาอูล และทหารของเขา ในขณะที่เผชิญหน้ากับยักษ์โกลิอัท คนฟิลิสเตีย ซาอูลและทหารอิสราเอลกลัวมาก เพราะความใหญ่โตและแข็งแรงของโกลิอัท ที่มีความแข็ง แรงมากกว่าคนอิสรเอล เวลานั้นซาอูลมองตัวเองและทหารของเขาและเปรียบเทียบกับโกลิอัทมันคนละเรื่อง
ซาอูลมองเห็นจุดแข็งของศัตรู คือ ใหญ่กว่าแข็งแรงกว่า ซาอูลเอาจุดแข็งของศัตรูมาวัดกับจุดแข็งของตัวเองคือ พวกเขาเล็กกว่าอ่อนแอกว่า ซาอูลคิดจะใช้จุดแข็งของตัวเองคือ อาวุธที่มีเพื่อปราบยักษ์โกลิอัทและก็รู้ว่าด้อยกว่า ในที่สุดซาอูลก็เห็นจุดแข็งของตัวเองเป็นจุดอ่อน เพราะอาวุธและกำลังที่เคยรบมีชัยชนะมาทุกที่ วันนี้มันไม่ใช่จุดแข็งเสียแล้ว สิ่งที่ซาอูลทำได้ คือ กลัวหัวหด และทำอะไรไม่ถูก พระคัมภีร์บรรยายถึงจุดแข็งที่น่ากลัวของศัตรู
เหตุหารณ์ตอนนี้อยู่ใน 1ซมอ.17:4-11 ?4 มีผู้หนึ่งชื่อโกลิอัทเป็นยอดทหาร ได้ออกมาจากค่ายคนฟีลิสเตียเป็นชาวเมืองกัท สูงหกศอกคืบ 5 เขาสวมหมวกทองสัมฤทธิ์ไว้ที่ศีรษะ และสวมเสื้อเกราะ เสื้อเกราะนั้นหนักห้าพันเชเขลเป็นทองสัมฤทธิ์ 6 และสวมสนับแข้งทองสัมฤทธิ์ และมีหอกทองสัมฤทธิ์แขวนอยู่ที่บ่า 7 ด้ามหอกนั้นเหมือนไม้กระพั่นทอผ้า ตัวหอกหนักหกร้อยเชเขลเป็นเหล็ก ทหารถือโล่ของเขาเดินออกหน้า 8 เขาออกมายืนตะโกนไปทางแนวอิสราเอลว่า 'เจ้าทั้งหลายออกมาทำศึกทำไมเล่า ข้าเป็นคนฟีลิสเตียไม่ใช่หรือ เจ้าก็เป็นข้าของซาอูลไม่ใช่หรือ จงเลือกคนแทนพวกเจ้าให้เขาลงมาหาข้านี่ 9 ถ้าเขาสามารถสู้รบและฆ่าตัวข้าได้ พวกเราจะยอมเป็นข้าของพวกเจ้า แต่ถ้าข้าชนะเขาและฆ่าเขาตาย แล้วพวกเจ้าต้องเป็นข้าของพวกเราและรับใช้เรา' 10 และคนฟีลิสเตียคนนั้น กล่าวว่า 'วันนี้ข้าขอท้ากองทัพอิสราเอล จงส่งคนมาสู้กันเถิด' 11 เมื่อซาอูลและคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้ยินถ้อยคำของคนฟีลิสเตียคนนั้น เขาทั้งหลายก็ท้อใจและกลัวมาก?
สิ่งที่ซาอูลเห็นในโกลิอัทน่ากลัวและแข็งแรงกว่า กองทัพของซาอูลที่ยิ่งใหญ่รบมีชัยชนะชาติต่าง ๆ หายไปไหน แล้วซาอูลจะทำอย่างไรต่อไป..
(อ่านต่ออิทตย์หน้า)
ไพโรจน์.
* บทความนี้เขียนจากแนวคิดจากหนังสือ ?เจาะจุดแข็ง? ของ Marcus Buckingham และ Donald O.Clifton ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย...